หลายๆ คนอาจคิดว่าโลกยุคปัจจุบันมีสิ่งมีชีวิตหลงสำรวจอยู่น้อยเต็มที นั่นเป็นความเข้าใจผิด เพราะ ยังมีสิ่งมีชีวิตที่มนุษย์ ยังไม่เคยเห็นอีกมากมาย โดยเฉพาะใต้ท้องทะเลลึก พื้นผิวโลกเป็นมหาสมุทรถึง 70% และมีความลึกโดยเฉลี่ย 4 กิโลเมตร เมื่อเปรียบเทียบกับที่อื่นๆ แล้วใต้ท้องทะเลลึกเป็นบริเวณ ที่หนาวเย็นมืดทึบและมีออกซิเจนน้อย สภาพแวดล้อมจึงเอื้อ ต่อการมีชีวิตน้อยมาก แต่ที่นี่กลับมีสิ่งมีชีวิต ที่หลากหลายและมีรูปลักษณ์แปลกๆ ท้องทะเลลึกมีสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ ไปจนถึงขนาดเล็ก ตั้งแต่วาฬสเปิร์ม ปลาหมึกยักษ์ อาร์ชิทิวทิส ขนาด 13 เมตร ปลาหมึกยักษ์คอลอสซอล ขนาด 15 เมตร ปลาฉลามสลีปเปอร์ ไปจนกระทั่งถึง ปะการัง ปลาหมึกขนาดเล็ก หนอน และแบคทีเรีย
ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์นานาชาติกว่า 70 ประเทศ กำลังสำรวจสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทร ตั้งแต่ขั้วโลกเหนือ ถึงขั้วโลกใต้ เพื่อทำฐานข้อมูลตามโครงการ "Census of Marine Life" (CoML) ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ปี 2000 การสำรวจสิ่งมีชีวิต ในมหาสมุทรครั้งใหญ่นี้ จะใช้ระยะเวลา 10 ปี เพื่อประเมินและอธิบายความหลากหลาย การกระจายและความอุดมสมบูรณ์ ของสิ่งมีชีวิต ในมหาสมุทร ทั้งในอดีตปัจจุบันและ อนาคต ก้นทะเลลึกมีความลึกลับหลายอย่างที่มนุษย์เพิ่งจะรู้ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีสัตว์ทะเล อาศัยอยู่ในบริเวณปล่องน้ำพุร้อน (Hydrothermal vent) (ส่วนใหญ่อยู่ในระดับความลึก 2,100 เมตร) ซึ่งอุดมไปด้วยแร่เหล็กและกำมะถัน ทว่าที่นี่เป็นที่อยู่ของสัตว์หลายชนิด เช่น แบคทีเรีย หอยกาบ ปลารูปร่างประหลาด และ หนอนซึ่งมีลำตัวยาวมากกว่า 2 เมตร สัตว์ขนาดเล็กที่นี่มีประโยชน์ต่อมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์หวังว่า จะผลิตยาจากสัตว์เล็กๆ เหล่านี้รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆ ด้วย ก้นทะเลลึกยังเป็นแหล่ง ที่อยู่อาศัยของปะการัง เมื่อไม่นานมานี้ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ ปะการังในเขตหนาว ซึ่งอยู่ลึกถึง 6,000 เมตร และมีอุณหภูมิของน้ำเพียง 2 องศาเซลเซียส เท่านั้น ซึ่งต่างจากปะการัง ในเขตร้อนซึ่งอยู่ในน้ำตื้น และ ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ ได้พบปะการังน้ำลึก ตั้งแต่ไอร์แลนด์ไปจนกระทั่ง ถึงนิวซีแลนด์ แต่น่าเสียดายมันกำลัง ถูกทำลาย โดยเรือประมงน้ำลึก เมื่อกลางเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา ได้มีการประชุมนานาชาติ "ชีววิทยาท้องทะเลลึก ครั้งที่ 11 " ที่เมืองเซาธ์แธมตัน สหราชอาณาจักร การประชุมครั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้นำเสนอ ภาพสัตว์ใต้ทะเลลึก หลายชนิด ซึ่งสัตว์บางชนิดน่าตื่นตาตื่นใจมาก ดังเช่น
หนอนทะเล (Annelid Worm)หนอนทะเลเป็นสัตว์ที่อยู่ในไฟลัม แอนเนลิดา (Phylum Annelida) ไฟลัมนี้มีหนอนมากถึง 15,000 สปีซีส์ ที่รู้จักกันดีคือ ไส้เดือนและปลิง ในภาพคือหนอนทะเลหนึ่งใน 120 สปีซีส์ ในจีนัส เนออิส (Nereis) คลาสโพลีคีตา (Polychaeta) นักวิทยาศาสตร์พบมันในบริเวณน้ำพุร้อนก้นทะเล ลักษณะเด่นของหนอนชนิดนี้ คือ รูปร่างหน้าตาที่ประหลาดและดูน่าเกลียดน่ากลัว
ลาไหลมอเรย์ หรือ ปลาหลดหิน (อังกฤษ: Moray eel, Moray) เป็นวงศ์ของปลากระดูกแข็งวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Muraenidae อยู่ในอันดับปลาไหล (Anguilliformes)
มีรูปร่างเรียวยาวเหมือนปลาไหลทั่วไป ไม่มีครีบอก ครีบหลังเชื่อมต่อกับครีบก้นและครีบหาง โดยมีจุดเด่นร่วมกันคือ มีส่วนปากที่แหลม ไม่มีเกล็ดแต่มีหนังขนาดหนาและเมือกลื่นแทน เหงือกของปลาไหลมอเรย์ยังลดรูป เป็นเพียงรูเล็ก ๆ อยู่ข้างครีบอกที่ลดรูปเหมือนกัน เลยต้องอ้าปากช่วยหายใจเกือบตลอดเวลา คล้ายกับการที่อ้าปากขู่ นอกจากนี้แล้วภายในกรามยังมีกรามขนาดเล็กซ้อนกันอยู่ข้างใน ซึ่งปกติจะอยู่ในช่วงคอหอย แต่จะออกมาซ้อนกับกรามใหญ่เมื่อเวลาอ้าปาก ใช้สำหรับจับและขบกัดกินอาหารไม่ให้หลุด
ปลาไหลมอเรย์เป็นปลาที่กินเนื้อเป็นอาหาร ออกหากินในเวลากลางคืน โดยการล่าเหยื่อด้วยการใช้ประสาทสัมผัสทางกลิ่น ที่เป็นแท่งเล็ก ๆ ยื่นอยู่ตรงปลายปาก 2 แท่ง คล้ายจมูก ซึ่งอวัยวะส่วนนี้มีความไวต่อกลิ่นมาก โดยเฉพาะกลิ่นคาวแบบต่าง ๆ เช่น กลิ่นเลือดหรือกลิ่นของสัตว์ที่บาดเจ็บมีบาดแผล อาหารได้แก่ ปลาทั่วไป รวมถึงสัตว์ที่มีกระดองแข็งเช่น กุ้ง, กั้ง, ปู รวมถึงหมึกด้วย

ปลาไวเปอร์ เคี้ยวดาบ
ลาไวเปอร์เขี้ยวดาบ
ปลาทะเลที่มีความแปลก ปลาทะเลที่มีความน่ากลัว และปลาทะเลที่ทุกๆคนนั้นอาจจะไม่เคยได้ยินแม้กระทั่งชื่อของมันนั้น ในวันนี้นั้นเราก็จะนำเอามาให้ได้ทำความรู้จักกันค่ะ เนื่องจากว่าปลาทะเลที่มีความแปลกประหลาดและน่ากลัวนั้น จะไม่ค่อยได้พบเจอกับประเทศไทยของเรากันเสียเท่าไหร่นะคะ เพราะว่าในส่วนใหญ่แล้วนั้นปลาทะเลแหล่านี้จะอยู่ที่ตางประเทศเสียเป็นส่วนใหญ่
และปลาทะเลที่ในวันนี้นั้นจะนำเอามาให้ทำความรู้จักกันนั้น ก็จะเป็นปลาทะเลที่มีชื่อว่า ปลาไวเปอร์ เมื่อฟังจากชื่อของมันแล้วนั้นก็คงจะคิดภาพมันไม่ออกเลยใช่ไหมคะ ดังนั้นไปดูถึงลักษณะของเจ้าปลาไวเปอร์กันเลยค่ะ
ปลาไวเปอร์นั้นก็จะเป็นปลาที่มีรูปร่างลักษณะที่มรความคล้ายคลึงกันกับเข้มยาวๆ และในส่วนของขากรรไกรในส่วนล่างนั้นก็จะมีการเปิด และปิดเหมือนกับบานพับนั่นเอง ซึ่งเจ้าปลาไวเปอร์นี้นั้นก็จะเป็นปลาประหลาดทะเลนี้นั้นก็จะมักอยู่ในน่านน้ำที่อุ่นๆ ในเขตร้อน และถือได้ว่าที่เหล่านั้นจะเป็นที่ล่าเหยื่อของมัน ซึ่งมันก็จะทำการฝังเขี้ยวลงไปในร่างกายของเหยื่อ เพื่อที่จะทำให้เหยื่อนั้นหยุดการเคลื่อนไหว และทำให้มันจับกินได้ง่ายขึ้นนั่นเอง

ทากทะเลสั่น
ทากทะเล (อังกฤษ: Nudibranch, Sea slug) เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังจำพวกมอลลัสกา เช่นเดียวกับหอย และหมึก จัดอยู่ในชั้นหอยฝาเดี่ยว ในอันดับย่อย Nudibranchia
ทากทะเล มีลักษณะเด่น คือ ไม่มีเปลือกห่อหุ้มลำตัว เพราะเปลือกลดรูปจนมีขนาดเล็กคลุมตัวไม่มิด หรือไม่มีเปลือกเลย ทากทะเลส่วนใหญ่มีสีสวยสดงดงาม บางชนิดมีหลายสีบนตัวเดียวกัน และสามารถปรับสีของตัวให้เข้ากับสภาพของแหล่งอาศัย สีที่ฉูดฉาดของทากทะเลทำให้สัตว์อื่นหลีกเลี่ยงที่จะกินเป็นอาหาร เพราะทากทะเลจะสร้างสารเคมีที่เป็นพิษสะสมไว้ตามผิว เพื่อป้องกันตัว บางชนิดมีอวัยวะช่วยหายใจอยู่ทางด้านบนของหัวหรือลำตัว ซึ่งอาจมีลักษณะเป็นเส้น เป็นกระจุก หรือเป็นแผ่น หรือคล้ายเขา และเป็นสัตว์ที่ไม่มีตาสำหรับการมองเห็น[1] ส่วนมากอาศัยอยู่ในแนวปะการัง และบริเวณใกล้เคียง กินอาหารพวกสาหร่าย, ฟองน้ำ, ดอกไม้ทะเล, ปะการังอ่อน, กัลปังหา และเพรียงหัวหอม ทั่วโลกพบประมาณ 2,000 ชนิด ในน่านน้ำไทยสำรวจพบประมาณ 100 ชนิด เช่น ทากเปลือย เป็นต้น

ม่นทะเล หรือ หอยเม่น (อังกฤษ: Sea urchin) เป็นสัตว์ในชั้น เอไคนอยเดีย (Echinoidea) ในไฟลัมเอไคโนดอร์มาทา และอยู่ในกลุ่มเอคไคนอยด์ที่มีสมมาตร อาศัยอยู่ตามพื้นแข็ง มีสีต่างกัน ด้านที่เกาะกับพื้นเป็นปาก ทวารหนักอยู่กลางลำตัว ด้านบนสุด เม่นทะเลจะมีหนามสองขนาด หนามขนาดยาวใช้ในการผลักดันพื้นแข็ง ขุดคุ้ยสิ่งต่างๆหรือช่วยในการฝังตัว หนามเล็กสั้นใช้ยึดเกาะเวลาปีนป่าย เม่นทะเลที่มีพิษจะมีหนามที่กลวงและมีพิษอยู่ภายใน หนามนี้จะแทงทะลุผิวหนังได้ง่าย เมื่อหักจะปล่อยสารพิษออกมา อาหารของเม่นทะเลคือสาหร่าย สัตว์ที่ตายแล้ว และสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่เกาะอยู่กับที่

ปลา แฟลงทูธ
สำหรับ แฟงค์ทูธนั้นก็จะเป็นปลาที่มีรูปร่างที่น่าสยดสยองมากเลยนะคะ ซึ่งปลาแฟงค์ทูธนั้นก็จะอาศัยอยู่ในทะเลน้ำลึก และถึงแม้ว่ารูปร่างของมันนั้นจะมีรูปร่างเหมือนกันอย่างกับสัตว์ประหลาดนั้น แต่ว่าเมื่อมันมีการโตเต็มวัยนั้นมันก็จะมีความยาวเพียงแค่ 6 นิ้วเท่านั้นนะคะ และลำตัวนั้นจะสั้นแต่ว่าจะมีหัวที่มีขนาดใหญ่ เป็นปลาที่มีฟันที่แหลมคมและยาว เหมือนกับเขี้ยวที่เรียงตัวกันอยู่ในปากที่มีขนาดใหญ่นั่นเอง
แฟงค์ทูธ นั้นก็จะเป็นปลาที่อาศัยอยู่ในใต้ทะเลน้ำลึกลงไปถึง 16,000 ฟุตเลยทีเดียวนะคะ และด้วยความลึกขนาดนี้นั้นก็จะทำให้แรงดันน้ำนั้นมีระดับที่สูงและเย็นมากจนแทบที่จะเป็นน้ำแข็งเลยทีเดียว และในเรื่องของอาหารของแฟงค์ทูธนั้นก็จะหาได้ยาก มันจึงทำให้แฟงค์ทูธนั้นกินทุกอย่างที่ขว้างหน้าที่หากินได้ และสำหรับอาหารส่วนใหญ่แล้วนั้นก็จะตกลงมาจากทะเลด้านบนซึ่งปลาทะเลแฟงค์ทูธนี้นั้นก็จะสามารถที่จะพบเจอกับพวกมันได้ทั่วโลก ในเขตทภูมิภาคที่อบอุ่นและร้อนชื้น และก็ยังจะรวมไปถึงทวีปออสเตรเลียด้วยนั่นเอง

กุุ้งฮาโลวีน
เมื่อวันที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา สำนักข่าวเอพี เปิดเผยภาพกุ้งลอบสเตอร์ลักษณะแปลกตา เปลือกเป็นสีส้มครึ่งดำครึ่งชนิดผ่าซีก ผู้เชี่ยวชาญเผยพบได้ 1 ใน 50 ล้านเท่านั้น
โดยกุ้งลอบสเตอร์ตัวนี้ ถูกชาวประมงในเมืองบอสตัน รัฐแมตซาชูเซตส์จับได้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นกุ้งลอบสเตอร์ตัวเมียหนักราวครึ่งกิโลกรัม มีลักษณะแปลกตากว่ากุ้งลอบสเตอร์ทั่วไป คือ เปลือกของมันนั้นผ่าซีกเป็น 2 สี คือสีดำและสีส้ม ราวกับมันถูกนำไปทำให้สุกครึ่งตัว แถมยังผ่าตรงกึ่งกลางพอดีได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผู้เชี่ยวชาญเผย ลักษณะแปลกตาเช่นนี้เกิดขึ้นในกุ้งลอบสเตอร์ 1 ใน 50 ล้านตัวเท่านั้น
ทั้งนี้ ตอนนี้กุ้งลอบสเตอร์ตัวดังกล่าวถูกนำไปแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำนิวอิงแลนด์ และทางพิพิธภัณฑ์ได้เปิดตัวกุ้งตัวนี้ออกมาในช่วงวันฮาโลวีนพอดี เพราะสีมันเข้ากันกับสีสัญลักษณ์ของวันฮาโลวีนนั่นเอง
โดยกุ้งลอบสเตอร์ตัวนี้ ถูกชาวประมงในเมืองบอสตัน รัฐแมตซาชูเซตส์จับได้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นกุ้งลอบสเตอร์ตัวเมียหนักราวครึ่งกิโลกรัม มีลักษณะแปลกตากว่ากุ้งลอบสเตอร์ทั่วไป คือ เปลือกของมันนั้นผ่าซีกเป็น 2 สี คือสีดำและสีส้ม ราวกับมันถูกนำไปทำให้สุกครึ่งตัว แถมยังผ่าตรงกึ่งกลางพอดีได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผู้เชี่ยวชาญเผย ลักษณะแปลกตาเช่นนี้เกิดขึ้นในกุ้งลอบสเตอร์ 1 ใน 50 ล้านตัวเท่านั้น
ทั้งนี้ ตอนนี้กุ้งลอบสเตอร์ตัวดังกล่าวถูกนำไปแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำนิวอิงแลนด์ และทางพิพิธภัณฑ์ได้เปิดตัวกุ้งตัวนี้ออกมาในช่วงวันฮาโลวีนพอดี เพราะสีมันเข้ากันกับสีสัญลักษณ์ของวันฮาโลวีนนั่นเอง

หมึกแวมไพร์
มึกแวมไพร์ (อังกฤษ: Vampire squid; ชื่อวิทยาศาสตร์: Vampyroteuthis infernalis) เป็นมอลลัสกาประเภทหมึกชนิดหนึ่ง
หมึกแวมไพร์ เป็นสัตว์ที่มีอายุอยู่มานานกว่า 200 ล้านปีแล้ว โดยจัดอยู่ในวงศ์ Vampyroteuthidae และสกุล Vampyroteuthis ซึ่งมีเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่ยังดำรงเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน นับเป็นสายที่เชื่อมต่อระหว่างหมึกสายกับหมึกกล้วย ซึ่งหมึกแวมไพร์ จัดเป็นหมึกที่อยู่ในอันดับของตนเอง
หมึกแวมไพร์ ได้ชื่อนี้มาจากรูปร่างหน้าตาที่แลดูน่ากลัว โดยมีพังผืดเชื่อมต่อกันระหว่างหนวดแต่ละเส้นทั้งหมด 8 เส้น เสมือนร่มหรือครีบ แลดูคล้ายเสื้อคลุมตัวใหญ่ ใช้สำหรับว่ายไปมาเหมือนการบินของนกหรือค้างคาว แต่หมึกแวมไพร์กลับเป็นสัตว์ที่ไม่มีอันตรายใด ๆ มีความยาวเต็มที่ประมาณ 28 เซนติเมตรเท่านั้น มีสีผิวน้ำตาลแดงปนดำ ด้านในของลำตัวเป็นสีดำสนิทและมีหนามแหลม ๆ เรียงตัวตามแนวของหนวด มีดวงตากลมโตสีแดงก่ำ หรือสีน้ำเงิน
ปลาหัวใส
ด้วยหัวปลาพันธ์นี้ที่ค ล้ายกับ ส่วนช่องคนขับเครื่องบินรบ ( fighter-plane cockpit ) ปลาบาร์เริลอายแปซิฟิก (Pacific barreleye fish) หรือ (Macropinna microstoma)เป็น ปลาน้ำลึก ที่ถูกค้นพบอาศัยอยู่ในน้ำล ึกมากกว่า 2000 ฟุต ( 600 เมตร ) บริเวณเขตน่านน้ำ แคริฟอร์เนียกลาง ( California's central coast ) โดย Monterey Bay Aquarium Research Institute (MBARI) ซึ่งมันเป็นการค้นพบสายพันธ์ใหม่ของปลาที่มี หัวเป็นโดมโปร่งใส
ปลาบาร์เริลอายแปซิฟิก (Pacific barreleye) มีขนาดลำตัวยาวประมาณ 6 นิ้ว ( 15 เซ็นติเมตร ) บริเวณส่วนหน้าที่เห็น 2 จุดเล็กนั้นไม่ใช่ ตาแต่เป็น อวัยวะรับกลิ่น และที่เห็นเป็นโดมสีเขียวนั ้นคือตัวกรองแสงอาทิตย์จากด ้านบน และมีดวงตาเป็นจุดเล็กๆ ลางๆ เหนือรูรับกลิ่น ปลาบาร์เริลอายเป็นที่รู้จั กแล้วมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1939 แต่สถาพในการค้นพบครั้งแรก ปลาได้เสียชีวิต และมีสภาพเสียหายอย่างมากจา กการถูกจับได้ด้วยการลากอวน แต่รูปที่ได้เห็นชุดนี้ได้ร ับการบันทึกได้ในขณะมีชีวิต และมีสภาพสมบูรณ์
ปลาบาร์เริลอายแปซิฟิก (Pacific barreleye) มีขนาดลำตัวยาวประมาณ 6 นิ้ว ( 15 เซ็นติเมตร ) บริเวณส่วนหน้าที่เห็น 2 จุดเล็กนั้นไม่ใช่ ตาแต่เป็น อวัยวะรับกลิ่น และที่เห็นเป็นโดมสีเขียวนั

แมงกระพรุ่น
แมงกะพรุน หรือ กะพรุน[1] (อังกฤษ: Jellyfish, Medusa) จัดอยู่ในประเภทสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ไฟลัมไนดาเรีย ไฟลัมย่อยเมดูโซซัว แบ่งออกเป็นอันดับได้ 5 อันดับ (ดูในตาราง) ลักษณะลำตัวใสและนิ่มมีโพรงทำหน้าที่เป็นทางเดินอาหารมีเข็มพิษที่บริเวณหนวดที่อยู่ด้านล่าง ไว้ป้องกันตัวและจับเหยื่อ เมื่อโตเต็มวัย ส่วนประกอบหลักในลำตัวเป็นน้ำร้อยละ 94-98 ด้านบนเป็นวงโค้งคล้ายร่ม ด้านล่างตอนกลางเป็นอวัยวะทำหน้าที่กินและย่อยอาหาร พบได้ในทะเลทุกแห่งทั่วโลก
แมงกะพรุนส่วนใหญ่จัดอยู่ในอันดับไซโฟซัว แต่ก็บางประเภทที่อยู่ในอันดับไฮโดรซัว อาทิ แมงกะพรุนไฟหมวกโปรตุเกส (Physalia physalis) ซึ่งเป็นแมงกะพรุนที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก และแมงกะพรุนอิรุคันจิ (Malo kingi) ที่อยู่ในอันดับคูโบซัว ก็ถูกเรียกว่าแมงกะพรุนเช่นกัน
แมงกระพรุ่นไฟ
แมงกะพรุนไฟ (อังกฤษ: Sea nettle[1]) เป็นสัตว์น้ำไม่มีกระดูกจำพวกแมงกะพรุนสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Chrysaora (/ไคร-เซ-ออ-รา/) จัดอยู่ในชั้นแมงกะพรุนแท้ หรือไซโฟซัว
โดยแมงกะพรุนไฟ มีลักษณะทั่วไปคล้ายร่ม แต่มีสีลำตัวและหนวดเป็นสีแดงสดหรือสีส้ม ด้านบนมีจุดสีขาวอยู่ทั่วไป สังเกตได้ง่าย ปากและหนวดยื่นออกมาทางด้านล่างหรือด้านท้อง เส้นหนวดมีจำนวนมากเป็นสายยาวกว่าลำตัว พบในทะเลทั้งบริเวณชายฝั่งและไกลฝั่ง ในช่วงฤดูมรสุมอาจพบได้ในเขตน้ำกร่อยจัดเป็นแมงกะพรุนที่มีพิษร้ายแรงมากอีกจำพวกหนึ่ง เมื่อโดนต่อยจากเข็มพิษแล้วจะมีอาการเจ็บปวดที่บริเวณบาดแผล จะมีอาการเจ็บ ปวดบริเวณบาดแผลอย่างรุนแรงภายในระยะเวลา 2-3 นาที บางครั้งอาจพบหนวดแมงกะพรุนขาดติดอยู่บนผิวสัมผัส ผิวหนังมีแนวผื่นแดง หรือรอยไหม้ ตามรอยหนวด ปวดแสบปวดร้อน บวมแดงจากการอักเสบและอาจเป็นหนองจากการติดเชื้อสำทับ อาการบวมแดงอาจหายไปได้ในเวลาไม่ช้า แต่รอยไหม้และรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นจะต้องใช้เวลารักษานานหลายปี หรืออยู่ถาวรตลอดไป นอกจากนี้อาจมีอาการไอ, น้ำมูกและน้ำตาไหล และอาการข้างเคียงอื่น ๆ เช่น เหงื่อออกมาก กล้ามเนื้อเป็นตะคริว, อ่อนเพลีย และหมดสติ จากการฉีดพิษที่สกัดจากแมงกะพรุนไฟเข้าไปในสัตว์ทดลองพบว่าทำให้การทำงานของตับและไตผิดปรกติ จนอาจเป็นอันตรายถึงตายได้ แต่ยังไม่มีรายงานว่าเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตมนุษย์
โดยที่ชื่อวิทยาศาสตร์ของแมงกะพรุนไฟนั้น คือ Chrysaora มีที่มาจากเทพปกรณัมกรีก คือ ไครเซออร์ซึ่งเป็นโอรสของโปเซดอน เทพเจ้าแห่งท้องทะเลกับเมดูซ่า เป็นอนุชาของเพกาซัส โดยที่ชื่อนี้มีความหมายว่า "บุรุษผู้ถืออาวุธทองคำ

ปลาตีนลายจุด
ปลาตีนลายจุดหรือ Brachionichthys hirsutus คือปลาน้ำลึกใกล้สูญพันธุ์และหายากแห่งออสเตรเลย มันมีครีบหน้าอกที่เหมือนกับแขนสั้นๆติดมือ เจ้านี้สามารถว่ายน้ำหรือเดินไปตามพื้นทะเลได้ด้วยครีบเหล่านี้ แต่มันชอบที่จะเดินมากกว่า

สตาร์เกซเซอร์
ปลาสตาร์เกเซอร์ (อังกฤษ: Stargazer) เป็นปลาทะเลน้ำลึกในวงศ์ Uranoscopidae ในอันดับปลากะพง (Perciformes) แบ่งออกเป็นประมาณ 50 ชนิด 8 สกุล พบอยู่ตามร่องน้ำลึกทั่วโลก
มีรูปร่างโดยรวม คือ ลำตัวยาว กลมหรือแบนลงเล็กน้อย ส่วนหัวแบนลง มองคล้ายเป็นสี่เหลี่ยม ส่วนหางแบนข้าง ตามีขนาดเล็กอยู่ทางด้านบนของส่วนหัว ปากเชิดอยู่ในแนวดิ่ง ฟันมีขนาดเล็กปลายแหลม บนขากรรไกร เกล็ดเป็นแบบขอบบางเรียบ ขนาดเล็กฝังอยู่ใต้ผิวหนัง ครีบหลังมีก้านครีบแข็งสั้น แต่แข็งแรง ส่วนฐานของก้านครีบอ่อนของครีบหลัง และครีบก้นยาว ครีบอกกว้างฐานครีบท้องอยู่ชิดกัน และอยู่หน้าครีบอกตำแหน่งจูกูลาร์ ส่วนหัวไม่มีเกล็ดแต่มี โบนี่ แพลท ปกคลุม ครีบหางตัดตรงหรือมนเล็กน้อย
ปลาสตาร์เกเซอร์มีลักษณะพิเศษคือ มีดวงตาอยู่บนส่วนยอดของหัว ปากขนาดใหญ่ มีครีบที่มีพิษใช้ป้องกันตัว และอาจป้องกันตัวเองด้วยกระแสไฟฟ้า มักฝังตัวอยู่ใต้พื้นทรายเพื่อคอยดักจับเหยื่อ ในบางชนิดจะมีระยางค์รูปร่างคล้ายหนอนยื่นออกมาจากปากเพื่อล่อเหยื่อ มีขนาดลำตัวยาวตั้งแต่ 18 เซนติเมตร ถึง 90 เซนติเมตร
ฉลามเมก้าเมาธ์
ปลาฉลามเมกาเมาท์ (อังกฤษ: Megamouth shark; ชื่อวิทยาศาสตร์: Megachasma pelagios) เป็นปลาฉลามน้ำลึกขนาดใหญ่ที่พบได้ยากมาก หลังจากพบครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1976 จากการติดกับสมอของเรือรบ AFB 14 ของกองทัพเรือสหรัฐ เมื่อกว้านขึ้นมา พบเป็นซากปลาฉลามขนาดใหญ่ที่ไม่มีใครรู้จักเหมือนสัตว์ประหลาดขนาดความยาวประมาณ 4.5 เมตร น้ำหนักราว 3-4 ตัน มีจุดเด่น คือ ปากที่กว้างใหญ่มากและฟันซี่แหลม ๆ เหมือนเข็มอยู่ทั้งหมด 7 แถว ซึ่งมีความยาวไม่เกิน 5 มิลลิเมตร นักวิทยาศาสตร์เมื่อได้ศึกษาแล้วพบว่าเป็นปลาชนิดใหม่ และมีจุดที่แตกต่างไปจากปลาฉลามทั่วไป จึงจัดให้อยู่ในสกุล Megachasma และวงศ์ Megachasmidae ซึ่งยังมีเพียงชนิดนี้ชนิดเดียวเท่านั้น
ปัจจุบัน เป็นปลาที่ยังพบได้น้อย โดยมีรายงานการพบเห็นและเก็บตัวอย่าง 39 ครั้ง และมีการบันทึกภาพไว้ได้ 3 ครั้ง (ตามข้อมูลเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2007) โดย 1 ใน 3 ของการพบตัวอย่างปรากฏในเขตน่านน้ำญี่ปุ่น [3]
ปลาฉลามชนิดนี้กินแพลงก์ตอนเป็นอาหารเหมือนปลาฉลามบาสกิ้น และปลาฉลามวาฬ โดยมีปากกว้างใหญ่เพื่อกลืนเอาน้ำเข้าไปมาก ๆ แล้วกรองน้ำออกให้เหลือแต่แพลงก์ตอนและแมงกะพรุน ส่วนหัวขนาดใหญ่และริมฝีปากเป็นผิวหนังเหนียวจัดเป็นลักษณะเด่นของปลาฉลามชนิดนี้
นอกจากนี้แล้ว จากการสังเกตของนักวิทยาศาสตร์ ดร.ลีห์ตัน อาร์. เทย์เลอร์ ซึ่งเป็นผู้ตรวจซากของปลาฉลามเมกาเมาท์ครั้งแรกที่ถูกพบในปี ค.ศ. 1976 พบว่าในเพดานปากกรามบนจะมีพื้นผิวสีเงินแวววาวและจะสะท้อนแสงให้สว่างได้มากยิ่งขึ้นเมื่อต้องกับแสง สันนิษฐานว่ามีไว้สำหรับเรืองแสงในน้ำลึกเพื่อล่อเหยื่อ ซึ่งได้แก่ แพลงก์ตอน และเคยชนิดต่าง ๆ ให้เข้ามาเล่นกับแสงและอ้าปากกินเป็นอาหาร ในเวลากลางคืนที่เมื่อเคยขึ้นมาใกล้ผิวน้ำในระดับความลึกไม่เกิน 20 เมตร เพื่อกินอาหาร ปลาฉลามเมกาเมาท์ก็จะว่ายตามขึ้นมาเพื่อกินเคยด้วย


ไอโซพอดยักษ์
ไอโซพอด (Isopod) เป็นสัตว์จำพวกครัสเตเชียนกลุ่มที่มีความหลากหลายมากที่สุดชนิดหนึ่ง พบอาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมทุกรูปแบบ แต่จะพบได้มากที่สุดในทะเลน้ำตื้น สัตว์กลุ่มนี้มีความแตกต่างไปจากครัสเตเชียนส่วนใหญ่ เพราะสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมบนบกได้ดี (อันดับย่อย Oniscidia ได้แก่ เหาไม้ และแมลงสาบทะเล) แม้ว่าพบได้หลากหลายที่สุดในทะเลลึกก็ตาม (อันดับย่อย Asellota) มีหลายสปีชีส์ในจีนัส Cymothoa ที่ดำรงชีวิตเป็นปรสิตในช่องปากของปลา รู้จักกันในชื่อว่า "ตัวกัดลิ้น (Tongue biter)" สัตว์ในกลุ่มไอโซพอดจัดว่าเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่พบฟอสซิลตั้งแต่ในยุคคาร์บอนิเฟอรัส (อันดับย่อย Phreatoicidea วงศ์ Paleophreatoicidae) ซึ่งแตกต่างเพียงเล็กน้อยไปจากกลุ่ม Phreatoicidean ยุคใหม่ที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำจืดทางซีกโลกใต้

ปลาอีรี
สำหรับปลาอีรีนี้นั้นก็จะเป็นปลาทะเลที่มีฟันที่มีความแหลมคมเต็มปากนะคะ ซึ่งเจ้าปลานี้นั้นก็ได้กลายมาเป็นปีศาจที่อาจจะเรียกได้ว่าทำให้เด็กนั้นพากันผวาได้เลยล่ะค่ะ ซึ่งเจ้าปลาที่น่ากลัวอีรีนี้นั้นก็ทำการล่าเหยื่อให้เข้ามาใกล้โดยใช้แสงจากคันเบ็ด ที่มันงอกออกมาจากหัวของมัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วนั้นเหยื่อล่อที่แท้จริงนั้นก็คือ จะเป็นในส่วนของกระดูกสันหลังที่เต็มไปด้วยแบคทีเรียที่เรืองแสงนั่นเอง
เห็นกันหรือยังคะว่า ปลาทะเลที่เรานั้นได้นำเอามาบอกกันในวันนี้นั้นมีความน่ากลัวกันแค่ไหน ซึ่งถ้าหากว่าเจ้าปลาอีรีนี้นั้นมีอยู่ในประเทศไทยของเราแล้วล่ะก็ …. คงจะทำให้หลอนจนไม่กล้าที่จะลงน้ำที่ไหนกันอย่างแน่นอนเลยนะคะ และปลาทะเลที่ในครั้งหน้าเราจะนำเอามาบอกกันจะเป็นปลาอะไรนั้นต้องรออ่านกันนะคะ
แหล่งอ้างอิง http://th/wikipedia.org/wiki/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น